วันนี้วันเสาร์เป็นวันหยุดของพวกเรา เลยตกลงกับพี่ ๆ กันว่าจะไปเมืองลาโครุนญ่า (La Coruña) กัน ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในแคว้น GALICIA เหมือนกัน
9 โมงเช้าออกเดินไปสถานีรถบัส เรียกว่า Estuation De Autobuses เพื่อถึงเมืองลาโครุนญ่า (La Coruña) ได้ตั๋วเที่ยว 10 โมง ราคา 710 เปเซตา (ESP) ประมาณ 142 บาทไทย เพราะ 5 ESP ของที่นี่เท่ากับ 1 บาทไทย ประมาณนั้นราคาของที่นี่เลยต้องเอา 5 หารประจำ
มาถึงเมืองลาโครุนญ่า เวลาประมาณ 11 โมงเช้า สิ่งแรกที่เห็นจนคิดว่ามีมากที่สุดในเมืองนี้ก็คือโปสเตอร์โฆษณาสินค้าต่าง ๆ โดยมีรูปดาราเดมี่ มัวร์ เป็นนางแบบทุกยี่ห้อสินค้าเกลื่อนเมืองไปทั่ว คงจะเป็นนางแบบดังของที่นี่ ห้างที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ก็คือห้างที่ชื่อว่า El Corte Inglés คงจะคล้าย ๆ ห้าง Central บ้านเรานั่นแหละ
เดินชมเมืองมาตามทาง แวะถ่ายรูปตามข้างทางบ้าง เป็นบ้านเมืองที่ธรรมดามากไม่มีสถานที่ให้ถ่ายรูปเหมือน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือ ออสเตรเลียเราก็เลยเซ็งไปตาม ๆ กัน แวะซื้อปิ๊กกีตาร์ไปสะสมได้ 4 ชิ้น เครื่องดนตรีของที่นี่แพงมาก
เดินทางมาจนถึงหาดด้านสนามกีฬา มีฝรั่งนอนอาบแดดกันเต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวมาก
ชอบผนังข้างทางที่เด็กฝรั่งมือบอนมาเขียนเล่นไว้ เขาทำศิลเปรอะ ได้เป็นศิลปะที่สวยมาก ดูแล้วชอบใจ ตอนไปออสเตรเลียก็ชอบไปถ่ายกับผนังพวกนี้เหมือนกัน เขาตั้งใจทำกันได้สวยดี เมืองไทยเรา ก็ชอบเขียนผนัง แต่เป็นศิลเปรอะที่เลอะเทอะมากกว่านี้
บ่าย ๆ ก็หาทางกลับกัน โดยการกางแผนที่เหมือนเดิม โดยเอาจุดของสถานีรถบัสเป็นเป้าหมาย
ก่อนจะมาหาด แวะทานอาหารที่ร้านอาหารข้างทางเป็นอาหารกลางวัน เมนูที่หนักมาก เป็นเนื้อสารพัดเนื้อ ทั้งไก่ หมู แพะ แกะ หรืออาจจะเป็นวัว ซึ่งก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นอะไร ซึ่งมาอยู่ที่นี่มีอะไรให้กินได้ต้องรีบกิน เดี๋ยวอดตาย
ตอนอยู่เมืองไทยช่วง 4 เดือน ก่อนบินมาที่สเปน ช่วงนั้นหยุดทานเนื้อไปพักหนึ่ง มันก็ไม่มีเหตุผลของการไม่ทานหรอก เพียงแต่ไม่อยากทานเฉย ๆ แต่ก็ไม่เคร่งมาก พอมาถึงที่นี่มันเลือกไม่ได้ มีอะไรทานได้ก็ต้องทานก่อน กลับเมืองไทยค่อยว่ากันใหม่ หมดค่าอาหารไปประมาณ 1,280 ESP ต่อคนก็ประมาณ 250 บาท เห็นจะได้ แต่ก็อิ่มแปล้กันพอดู
พวกเราเดินเข้าสวนสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุมาพักผ่อน มาเล่นไพ่เป็นการพักผ่อน เป็นคนแก่ของฝรั่งนี่ก็ช่างเงียบเหงาจัง ก็คงจะมีความสุขไปตามอัตภาพ
ในสวนสาธารณะมีต้นสนขึ้นเรียงรายยืนต้นสูงไปทั่วเนินเขา ทำให้นึกถึงภูกระดึง และก็นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวเมืองไทยขึ้นมาชั่วขณะจิต
บ่ายกว่า ๆ คงจะประมาณบ่าย 4 โมงเย็นเห็นจะได้ ก็หาทางเดินกลับ มาจนถึงห้าง El Corte Inglés จนได้ ขึ้นไปซื้อชุดวอร์มมา 1 ชุด กับเสื้อ 1 ตัว เอาไว้ใส่เล่นกีฬาก็ราคา 3,000 ESPแล้วก็ลงมาซื้อของที่ระลึกไปฝากทางบ้านมีกระเป๋าใบเล็กกับพวกเข็มกลัด อย่างละ 2 ชิ้น เลยหมดเงินไปเยอะเหมือนกันวันนี้
ได้รถกลับเที่ยวทุ่มครึ่ง ตอนขากลับเห็นวิวตามรายทาง ที่มีไฟตามบ้านเรือน เม็ดระยิบระยับเป็นดวง ๆ สวยงามมาก เสียดายที่นั่งรถเลยถ่ายรูปไม่ได้ บ้านเรือนของคนเมืองนี้ส่วนใหญ่ปลุกกันตามเชิงเขา เป็นชั้น ๆ มีการทำสวนผัก ทำฟาร์มกันด้วย เลยดูเขียวไปด้วยพืชพันธุ์ ดอกไม้เมืองหนาว สีสันฉูดฉาดสวยงาม กลีบหนา ขึ้นตามรายทางไปทั่ว
หลับตามทางด้วยความเหนื่อยเพลีย หรือเป็นเพราะดูวิวเพลิก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถหยุด นึกว่ามาถึงเมืองเฟร์รอล (Ferrol) แล้ว ที่ไหนได้ รถติด ติดนานมากเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ยังนึกแปลกใจเลยว่าเมืองที่มีถนนหนทางมากมาย การจราจรดีเยี่ยม จะมีรถติดกับเขาด้วย ยังมานั่งเถียงกับเพื่อนร่วมทางเลยว่า มีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่าจึงทำให้รถติด แต่ก็หาคำตอบกันไม่ได้ งง
กลับมาถึงที่พัก แวะทานมื้อเย็นที่เรือ Barrack ship แล้วก็กลับมานอนที่กราบพักหทารตึกอาร์เซนอล (ARSENAL) เหมือนเดิม
ช่วงเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมาก็กิจวัตรเดิม ๆ ของผมก็คือ ตื่นเช้ารีบมารับประทานอาหารตอน 7 โมงเช้า ทานให้ได้มาก ๆ เพราะเป็นพวกโอวัลติน หรือไม่ก็กาแฟกับขนมปัง จะได้อยู่ท้องไปจนถึงบ่าย 2 แถมยังตุนขนมในกระเป๋าอีกต่างหาก เผื่อหิวตอนเที่ยงวันจะได้งัดออกมารองท้องแก้ขัดได้ไปพลาง
ตอน 8 โมงไปทำงาน ดูเรือทำความรู้จักกับเรือ ขึ้น - ลง แต่ละชั้น เข้าออกแต่ละห้องให้คุ้นเคย แต่กระนั้นก็ยังหลงทาง อยู่ดีหล่ะ แต่ก็คิดว่าถ้าลงมาอยู่จริง ๆ คงจำห้องได้หมดแน่นอน
ตอนกลางวันกับตอนเย็น พวกเราก็มักจะมาลุ้นอาหารสเปนกันว่า มื้อนี้จะเป็นอะไร จะทานอะไรกันได้เยอะแค่ไหน ซึ่งก็เหมือนเดิมคือ อาหารเหลือจากถาดทุกที แต่อาหารเขามีคุณค่ามากเพียงแต่รสชาติมันจืดชืดเลี่ยน ๆ ก็เท่านั้น แต่เราก็ต้องหาทางออกได้อยู่ดีแหละ “เกลือ” ไงหล่ะ อุปกรณ์เพิ่มรสชาติแสนวิเศษที่อุตส่าห์พกพาข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองไทยเชียวหล่ะ โรยซะทุกอย่างก็ทานได้อย่างอร่อย ซุปมักกะโรนีก็เติมกุ้งแห้งที่พี่ ๆ จากเมืองไทยส่งมาให้ซะหน่อย (ต้องขอบคุณทุกคนที่ส่งมาให้เป็นอย่างมาก) ทีนี้ก็เป็นอาหารไทยไปซะแล้ว บางทีก็เติมน้ำพริกนรกซะหน่อย แซ่บจริง ๆ ของอย่างนี้มันอยู่ที่การพลิกแพลงตะหาก ทีหลังพวกแซนวิชกับแฮมเบอร์เกอร์ ก็มีไส้กุ้งแห้งกับไส้น้ำพริกนรก ผสมด้วยซะ เอาให้กลายพันธุ์กันเลยหล่ะ หมดทุกมื้อ อิ่มทุกมื้อ หลังอาหารก็มีผลไม้ ทั้ง แอปเปิ้ล ส้ม กล้วยหอม(ของโปรด) แล้วก็ดื่มนมแทนน้ำตามเดิม
ช่วงเย็นแต่ละวันก็ออกไปถ่ายรูปตามสวนสาธารณะ ทำความรู้จักเมือง Ferrol ให้ทั่ว ดูของตามร้านต่าง ๆ และที่สำคัญคือ CORREO ที่ทำการไปรษณีไงหล่ะ สวรรค์ของคนไกลบ้าน ส่งจดหมายกลับเมืองไทย
เช้าวันแรกในต่างแดน หนาวมาก ผมตื่นนอนตอนตี 2 ตี 3 เห็นจะได้เพราะเป็นเวลา 8 – 9 โมง ที่บ้านเรา (เวลาห่างกัน 6 ชั่วโมง บ้านเราจะเราจะเร็วกว่าเพราะอยู่ซีกโลกตะวันออก) ยังปรับตัวไม่ได้
7 โมงเช้า ลงไปทานกาแฟกับขนมปัง ซึ่งปกติจะไม่ทานกาแฟ แต่ก็ด้วยความจำเป็นหล่ะเพื่อความอยู่รอด เพราะรู้ว่าอาหารเช้าต้องทานให้มาก ๆ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะหิว เพราะที่นี่เขาทานอาหารเที่ยงกันบ่าย ๒ โมง ต้องทนหิวกันอีกนานเชียว
8 โมงเช้าขึ้นรถที่เรือ Barrack ship ไปทำงาน ที่สำนักงานฝั่งตรงข้าม วันแรกก็รู้ได้เลยว่าตัวเองไม่ได้ทำงานตามหน้าที่เดิม แต่ได้ไปทำหน้าที่ “เดินเรือ” ซึ่งไม่ใช่สายวิชาที่เรียนรู้มาเลย ตกลงเลยไม่ได้อยู่แผนกสื่อสาร มาอยู่แผนกเดินเรือแทน งานที่โดนหน้าที่อย่างจังก็คือ “ถือท้ายมือ ๑” ซึ่งความจริงหน้าที่นี้เหล่าสามัญต้องใช้ประสบการณ์ 2-3 ปี บนเรือถึงจะทำหน้าที่ “ถือท้ายมือ 1” ได้ แต่เราเอง มาจากไหนไม่รู้โดนหน้าที่นี้ตามหมายเลขรหัสที่สอบได้มา และก็ต้องทำให้ดีที่สุด อืม...อนาคตของเรือลำละ 2 หมื่นล้าน อยู่ในกำมือเราแล้วหล่ะ... เราจะต้องทำให้ได้ เพื่อความภาคภูมิใจ และเพื่อประสบการณ์ใหม่
ไม่ได้มีแต่เราที่ต้องทำหน้าที่ใหม่ ทุกอย่างเป็นไปตามหลักนิยมตามที่ ทร.สเปน กำหนดมาตามรหัสบุคคล ใคร ๆ ก็โดนเปลี่ยนหน้าที่หมด บางคนโดนหนักกว่าผมซะอีก ประมาณว่าเคยทำหน้าที่อีกอย่างแล้วเปลี่ยนไปทำงานอื่นเลย ถ้ามองในแง่ดี และทำใจได้ ก็ดีนะ จะได้ความรู้อย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก และก็แอบภูมิใจลึก ๆ ที่จะได้มีโอกาสควบคุมเรือ ขับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำแรกของไทยเป็นคนแรก ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุดหล่ะ
วันนี้พี่ ๆ ที่มาอยู่ก่อนแล้วพาไปดูเรือหลวงจักรีนฤเบศรที่อู่ต่อเรือบาซาน(Bazán)ซึ่งเป็นอู่ต่อเรือขนาดใหญ่อีกฝั่งของที่พัก
เวลา 0900 เหยียบพื้นเรือก้าวแรก ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมากเมื่อมายืนอยู่ตรงกลางลำเรือ เป็นเรือที่ลำใหญ่มาก รู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นส่วนประกอบชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งในเรือลำนี้ เป็นเฟืองตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่จะหมุนตัวเองให้เรือลำนี้กลับสู่เมืองไทยและเป็นสมบัติของคนไทย อย่างสง่างามให้ได้ เราจะเป็นคนขับเรือลำนี้ไปเทียบฝั่งแผ่นดินไทยให้ได้
ห้องภายในเรือมีหลายห้อง จำไม่ได้ จากเสากระโดงถึงห้องเรือมีทั้งหมด 12 ชั้น เห็นจะได้ มีลิฟท์โดยสาร มีห้องประทับรับรองพระบรมวงศานุวงศ์ที่สวยงามมาก
ผมเริ่มงานวันแรกด้วยการเรียนรู้เรื่องหางเสืออะไหล่ มีพี่พันจ่าโทเป็นครูผู้สอน
บ่ายสองโมง มีรถมารับกลับไปทานอาหารกลางวันที่ตึกอาร์เซนอล ทานอาหารเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ห้างประจำเมืองนี้คือห้างอัลกัมโป (Alcampo) น่าจะแปลว่าสนามหรือทุ่งหญ้าอะไรประมาณนี้นะ ไม่แน่ใจ ขอติดไว้ก่อน ซึ่งก็เหมือนกับ Lotus หรือ Big C ที่บ้านเรานั่นแหละ
กลับมาทานอาหารฝรั่งแบบจำใจ ตอน 1 ทุ่ม แล้วก็อาบน้ำนอน
เช้าของวันเดินทางตื่นเต้นเลยตื่นเอาซะตี 4 ตรวจเช็คของใช้และสัมภาระสำหรับการเดินไกลเป็นอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรูดซิปปิดใส่กุญแจ หลังจากเตรียมตัวเดินทางกันมาเกือบ 3 เดือน ทั้งเรื่องการตรวจสุขภาพ การจัดการเรื่องเอกสารการเดินทางข้ามประเทศ การอบรมและเรียนรู้ภาษาสเปนเบื้องต้น การเตรียมข้าวของเครื่องใช้ และอีกหลากหลายสารพัดเรื่อง
ออกเดินทางจากสัตหีบ มาถึงสนามบินดอนเมืองตอน 5 โมงเย็น มีญาติมารอส่งเพียบ ทั้งญาติผมและญาติเพื่อน ๆ
ทุ่มกว่า ๆ ตรวจสัมภาระผ่านเครื่องเอกซเรย์ ติดสติ๊กเกอร์กันกระเป๋าหาย เช็คพาสปอร์ต (F 283006) กับตั๋วเครื่องบินอีกครั้ง
2 ทุ่มกว่า ๆ โทรไปลาแม่ เพราะถ้ารอเครื่องออก แม่ก็คงจะได้นอนดึกแน่ ๆ คืนนี้
4 ทุ่มครึ่งแถวเช็คบัญชีพลเป็นครั้งสุดท้าย เสร็จแล้วก็เตรียมเข้าเช็คอิน เข้าเช็คอินเสร็จก็เข้าไปรอเครื่องที่เขต 5
เที่ยงคืนยี่สิบนาที เที่ยวบิน TG 942 สายการบินไทยเริ่มออกเดินทางมุ่งตรงไปยังกรุงโรมประเทศอิตาลีได้นั่งที่ 554 ผมได้นั่งแยกไปนั่งติดกับคู่สามี ภรรยา ชาวสเปนคู่หนึ่งพอดี ส่วนเพื่อน ๆ อีก 134 นายได้นั่งด้วยกันหมดเลย ก็เลยต้องงัดภาษาสเปนที่ร่ำเรียนมา 3 เดือน สนทนาสักหน่อยเป็นการไหว้ครูบาอาจารย์ที่ได้พร่ำสอนมา คุณครูบอกว่าเรียนมาแล้วให้ขอข้าวเขากินให้ได้นะ
ทานอาหารรสชาติแปลก ๆ พวกขนมปัง เนย ปลา ข้าวผัด แล้วก็หลับยาวฟังซาวด์อะเบาท์ (Sound About) เพลงตามใจชอบที่ทางเครื่องจัดให้โดยเราจะเลือกสถานีได้ที่ปุ่มหมุนหาช่องที่ติดกับพนักพิงแขน แอร์โฮสเตสสาวสวยเดินบริการผู้โดยสารเที่ยวที่วุ่นวายนี้ตลอดทั้งคืน
ผมนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย มาตื่นอีกทีเอาตอน 9 โมงเช้า ยังมีความรู้สึกมึนๆศีรษะ พอหันไปดูข้างนอกหน้าต่าง ยังเห็นมีดสนิทอยู่ ก็เลยงง ๆ มานึกได้ว่าตอนนี้เวลาจริง ๆ ตรงนี้ที่ทะเลดำประมาณตี 4 น่าจะได้ เพราะเป็นเวลาท้องถิ่นช้ากว่าเวลาบ้านเราประมาณ 5 ชั่วโมง
ทานอาหารฝรั่งรสชาติพิลึกตามเคย ทานได้นิดเดียวก็ต้องรีบเก็บ ยังติดกับรสชาติอาหารไทย
เวลา 1120 (เวลาไทย) เครื่องของสายการบินไทย ก็แล่นลงแตะพื้นแผ่นดินโรมอย่างนิ่มนวล เสียงปรบมือของผู้โดยสารดังกราวไปทั่ว ตามธรรมเนียมเป็นการแสดงความชื่นชม และขอบคุณ กัปตันที่สามารถนำเครื่องลงให้เราได้อยู่รอดปลอดภัย
เวลา 1135 เครื่องลงจอดพักที่สนามบินโรม ประเทศอิตาลี เวลาเหลืออีกประมาณ 1 ชั่วโมง เลยเดินหาซื้อของ แล้วก็ถ่ายรูปตามธรรมเนียม ได้ Post Card ของ Rome มา 2 ใบ ใบละ 1.5 lire (สกุลเงินอิตาลี) ก็ประมาณ 2 เหรียญดอลลาร์ (50 บาท) แพงมากแต่ก็จำใจซื้อ
เวลา 1245 กลับขึ้นเครื่องอีกครั้งเพื่อไปเมืองมาดริด (Madrid) เมืองหลวงของประเทศสเปน (Spain) ซึ่งที่ร่ำเรียนมาก็จะเรียกให้ขึ้นใจว่า España
ช่วงนี้ พนักงานต้อนรับบนเครื่องชุดใหม่ก็ขึ้นมาเปลี่ยนกับพนักงานชุดเดิม นั่งเครื่องมาจนเข้าเขตแผ่นดินประเทศสเปน เครื่องก็เริ่มเจอเมฆปกคลุม เป็นภาพที่สวยงามมาก เลยอดที่จะเก็บภาพไว้ไม่ได้ งานนี้เลยต้องกด Shutter กันเพลิน
ระหว่างเดินทางมีอาหารกลางวันรับประทานเป็นพวก ขาหมูหมักเกลือ หรือที่เรียกว่าคามอน (jamon) ฝานสไลด์เป็นชิ้น ๆ แผ่นบาง ๆ ดิบ ๆ ด้วยหละ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นและได้ชิม เคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่านี่คืออาหารขึ้นชื่อของชาวสเปนเลยนะ ปรากฎว่าทานไปได้คำเดียว ไม่ไหว ลิ้นไม่ถึง เลยต้องหันไปทานขนมหวานแทน...ยอม
มาถึงเมืองมาดริด เวลา 1530 นั่งรอเปลี่ยนตั๋ว เพื่อจะเปลี่ยนเป็นเครื่องไอบีเรีย (IBERIA) ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศเพื่อจะไปเมืองซานเตียโก (Santiago) นั่งรอกันอีกประมาณ 5 ชั่วโมงเห็นจะได้
เวลา 2100 ที่ประเทศไทย (แต่ตอนนี้ที่นี่ยังสว่างอยู่เลยเพราะเป็นเวลาแค่บ่าย ๓โมงเย็นเอง) เครื่องสายการบินไอบีเรียก็ทะยานไปยังเมืองซานเตียโก (Santiago) เมืองทางเหนือของประเทศสเปน สายการบินภายในประเทศนี้ประทับใจมาก เพราะบริการแค่ลูกอมคนละ 1 เม็ด (ราคา 3 เม็ด/บาท ที่บ้านเรา) แม้แต่น้ำเปล่า 1 แก้ว ยังไม่บริการเลย หรือว่าระยะทางใกล้ไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกับเพื่อนร่วมทางทุกคนก็ถึงเมืองซานเตียโก เป็นเวลา บ่าย 4 โมงเย็น ของที่นี่ บ้านเราก็คงจะ 4 ทุ่มแล้ว นอนกันหมดแล้วกระมัง
มาถึงสนามบินซานเตียโก รอรับของกับกระเป๋าสัมภาระ แล้วก็ขึ้นรถทัวร์ที่มารับเพื่อไปอีกต่อหนึ่ง ปลายทางสุดท้ายที่เมืองเฟร์รอล (Ferrol) ซึ่งอยู่ในแคว้นกาลิเซีย (GALICIA) แคว้นเดียวกันกับเมืองซานเตียโก อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งความจริงมันก็หนาวมาตั้งแต่เครื่องจอดที่โรมแล้วหละ หลับตามทางมาตลอด เพราะยังไม่ชินกับเวลาที่เปลี่ยนไป
หกโมงเย็นกับสิบห้านาที มาถึงที่พัก ตึกอาร์เซนอล (ARSENAL) เป็นกราบพักทหาร 2 ชั้น ดีหน่อยที่ไม่ได้พักในเรือ Barrack ship ซึ่งเป็นเรือปลดระวาง แต่นำมาปรับปรุงเป็นที่พัก จนประจำเรือชุดก่อน ๆ ที่มาพัก ทนความเป็นอยู่ไม่ได้แล้วเขียนเรื่องไปร้องเรียนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐคอลัมน์ ฉลามเขียว จนเป็นข่าวดังไปทั่วกองทัพ หลาย ๆ คนก็มองไปทังแง่ลบ และแง่บวกบ้าง แต่ที่แน่ ๆ งานครั้งนี้มีคนออกมาแก้ข่าวกันพัลวัน
ในตอนที่ก้าวลงรถผมสิ่งแรกที่ผมมองหาคือเรือหลวงจักรีนฤเบศรของพวกเรา ผมกวาดสายตามองไปทั่วอ่าว และคุ้งน้ำในอู่ จนมองไปเห็นเรือลำใหญ่ที่เห็นไกลลิบอีกฝั่งของอู่เรือที่มีทะเลกั้นกลางอยู่ แค่เห็นผมก็รู้ว่านั่นแหละคือเรือลำนั้น เรือที่เราจะพากลับไปเมืองไทยให้ได้ นั่นคือครั้งแรกที่เราได้เจอกัน
ทานอาหารสเปนมื้อแรก เป็นพวกมักกะโรนี ซุป แล้วก็พวกเฟรนซ์ฟรายด์ ที่ขายอยู่ตาม KFC บ้านเรานั่นแหละ ทนทานซะจนอิ่ม ดื่มนมแทนน้ำ เพราะที่นี่นมถูกกว่าน้ำ
จากนั้นพวกเราก็มาเข้าคิวตัดผมสั้นกันตามระเบียบของที่นี่ให้เหมือนกันทุกคนเป็นหน้าตาของประเทศของเรา
จัดข้าวของเข้าตู้ล็อคเกอร์เรียบร้อย อาบน้ำแล้วก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลียตอน 5 ทุ่ม ป่านนี้เมืองไทยก็คงจะตี 5 แล้วหล่ะ
ในเย็นวันนี้ ผมมองเห็นเธออยู่ลิบ ๆ ตาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่จากหน้าต่างห้องทำงานผมก็สามารถที่จะมองเห็นเธอในระยะห่างเท่าเดิมทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยมองไปที่เธอเลยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
แปลกก็แต่วันนี้ ในค่ำของฤดูหนาวที่พระอาทิตย์ยามเย็นกลมโตกว่าทุกวัน วูบหนึ่งในห้วงคำนึงทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอเธอ ในระยะห่างไกลลิบประมาณนี้ ในค่ำของวันที่หนาวเย็นแบบนี้ เหมือนกันกับวินาทีเดิมในครั้งที่เห็นเธอครั้งแรกเมื่อก้าวเท้าลงจากรถที่อู่บาซานหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ผมรู้สึกคิดถึงเธอ ไวเท่าความคิดผมรีบวิ่งไปที่รถ แล้วขับไปหาเธอที่ท่าเรือให้ทันก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
แม้ว่าพระอาทิตย์จะเริ่มลับเส้นขอบฟ้าไปแล้วเมื่อผมไปถึง แต่ความคุ้นตาผมจำเธอได้ทุกองค์ประกอบที่เป็นเธอ เธอเชิดหน้าท้าลมทะเลอย่างสง่า ในตอนที่แสงทองของอาทิตย์อัสดงระบายเลื่อมตามขอบเมฆที่เริ่มเห็นลาง ๆ ยิ่งเป็นจังหวะของแสงที่ส่งให้เธอดูงดงามและทรงพลัง เธอในวันนี้กับเธอเมื่อครั้งแรกเจอไม่ได้ต่างกันออกไปในความรู้สึกของผม แม้ว่าริ้วรอยของกาลเวลาจะทำให้อายุของเธอก้าวย่างเข้าสู่ขวบปีที่ ๒๒ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเธอยังคงสง่าและน่าเกรงขามไม่เสื่อมคลาย
ผมยืนนิ่งแหงนหน้ามองดูเธอพร้อมกับความทรงจำในครั้งแรกที่ได้เจอกันก็พรั่งพรูออกมาในจินตานาการ ผมอยู่ในภวังค์นั้นไปชั่วขณะพลางนึกขึ้นได้ว่า แสงสวย ๆ ในย่ำค่ำวันนี้กำลังจะหมดไป รีบหยิบมือถือมาถ่ายภาพเธออีกครั้งเป็นรูปแรกในรอบสิบกว่าปีที่ไม่ได้เก็บภาพเธอไว้อีกเลย
ผมกลับบ้านไปรื้อรังเก่า ๆ หยิบสมุดโน๊ตเล่มโต ออกมา ๓ เล่ม แล้วเลือกหยิบเล่มปกหนังสีดำที่มีฝุ่นจับบาง ๆ ออกมาจากกอง ผมใช้มือปัดฝุ่น และพลิกเปิดหน้าแรก
ตัวหนังสือโย้ ๆ กับหมึกปากกาที่เริ่มเลือนลาง แต่เรื่องราวต่าง ๆ มันแจ่มชัดในความทรงจำเหลือเกิน จนเหมือนได้กลับไปในวันเวลาช่วงนั้น ผมเก็บเรื่องราวดี ๆ แบบนี้ไว้กับตัวเองยี่สิบกว่าปีแล้ว ผมอยากให้หลาย ๆ คนได้รู้ว่าก่อนจะมาเป็นเธอ “ร.ล.จักรีนฤเบศร” ในวันนี้ มีเรื่องราวดี ๆ มากมายที่แล่นผ่านสายน้ำ และห้วงมหาสมุทรมากกว่าหมื่นไมล์ทะเล พวกเราพาเธอข้ามน้ำทะเล ข้ามขอบฟ้า และมีเรื่องเล่าจากอีกหลากหลายมุม แต่นี่คือมุมหนึ่งที่ผมบันทึกไว้แม้วันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตามก็ยังอยากให้อีกหลาย ๆ คนได้รับรู้ อยากให้เราย้อนเวลากลับไปรับเธอกลับมาบ้านเราพร้อม ๆ กันอีกครั้งหนึ่งครับ
สัตหีบ มีแหล่ง ที่พัก โรงแรม รีสอร์ทมากมาย ที่พักแสมสารติดทะเล แบบปิ้ง ย่างได้ หรือ ที่พักบางเสร่ติดทะเล มีทั้งแบบราคาถูก และหลากหลายราคาไม่ว่าจะมาเป็นครอบครัว หรือมาเป็นหมู่คณะเพื่อจัดกิจกรรม สัมมนา จัดงานแต่งงาน
สัตหีบเมืองชายทะเล มี ร้านอาหาร แสนอร่อย ที่พิถีพิถันในการเลือกสรรอาหารทะเลสดมาเพื่อนักชิมโดยเฉพาะ อย่าพลาดที่จะลองไปสัมผัสรสชาติอาหารทะเลจากร้านอาหารทะเลบางเสร่ ร้านอาหารทะเลแสมสาร
ตลาดอาหารทะเลช่องแสมสาร เป็นตลาดอาหารทะเลสด ที่อยากให้สัมผัสว่า ปลา กุ้ง หมึก สดจริง ๆ นั้นมีจริง นอกจากนี้ยังมีตลาดอาหารทะเลสดบางเสร่ ตลาดอาหารทะเลตลาดสัตหีบ ของฝากอาหารทะเลแบบแห้ง
สัตหีบเป็นหนึ่งเมืองต้องห้าม(พลาด) ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเที่ยวสักครั้งในชีวิต แหล่งท่องเที่ยวในสัตหีบ มีหลากหลายรูปแบบ มีวัดวาอาราม แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ และมีสวนน้ำขนาดใหญ่ให้ได้สัมผัส
มี 275 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์
Copyright 2016 www.sattahipcity.com.All rights Reserved.